จากกรณีคนร้าย 2 คนขับรถจักรยานยนต์ตามมายิงหนุ่มวัย 34 ปี เสียชีวิต

ตำรวจสามารถติดตามตัวผู้ก่อเหตุทั้ง 2 คน คือ นายชนิตพล เพชรชนะ มือยิง และนายรณพีร์ อายุ 17 ปี มาสอบปากคำดำเนินคดีที่ สน.โคกคราม โดยควบคุมตัวมาจากเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยระหว่างควบคุมตัวนายชนิตพลไปสอบสวน ได้กล่าวสั้น ๆ ว่า ” ขอโทษญาติผู้เสียชีวิต” ก่อนจะเดินทางเข้าห้องสอบสวนโดยไม่ปริปากพูดอะไรอีกเลย

โดยก่อนหน้านี้ พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐาน จนศาลอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้งสอง ในข้อหาข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับยิงปืนในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร และร่วมกันยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมืองหมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน

พ่อของนายชนิตพล (นายชาติพิชิต เพชรชนะ)(สวมหมวกแก๊ป) เปิดเผยว่า หลังจากก่อเหตุลูกชายได้โทรศัพท์หา แต่ไม่ได้บอกว่าไปก่อเหตุอะไรมา ต่อมาตนทราบเรื่อง เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประสานมาตนจึงได้ขอให้ลูกเข้ามอบตัว เพราะถ้าลูกจะหนีต้องหนีไปถึง 20 ปี จนหมดอายุความ กลัวว่าจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีก แต่ถ้าหาก ยอมรับ โทษไปตามกฎหมายก็ยังมีโอกาสที่จะได้ออกมาเจอกัน ซึ่งตนก็ได้บอกกับลูกชายว่าให้ยอมรับในสิ่งที่ทำขอให้ลูกชายขอโทษกลับญาติของผู้เสียชีวิตซึ่งตนก็ขอเป็นตัวแทนของลูกชายขอโทษญาติผู้เสียชีวิตด้วย

พ่อของผู้เสียชีวิต

ทั้งนี้ลูกชายของตนเป็นคนนิสัยดีไม่ได้เป็นคนเกเร ส่วนรายละเอียดว่าสาเหตุใดลูกชายถึงก่อเหตุนั้นลูกชายไม่ได้เล่าให้ฟัง ซึ่งในฐานะที่ตนเองเป็นพ่อนั้นก็ยอมรับว่าเป็นห่วงลูกมาก

หลังจากนั้น พลตำรวจโท สยาม บุญสม ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และพลตำรวจตรี นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้แถลงผลการจับกุม เปิดเผยว่า หลังจากก่อเหตุ ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ได้ขับรถจักรยานยนตไปเปลี่ยนชุดที่ห้องเพื้อนในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งย่านรามอินทรา จากนั้นก็มีเพื่อนคือ นายเอกชัย 23 ปี ขับรถจักรยานยนต์มารับ พาไปส่งที่ย่านบึงกุ่ม จากนั้นก็มีเพื่อนอีกคนขับรถมารับไปย่าน พระราม 2 จากนั้นก็มีเพื่อนอีกคนขับรถกระบะมารับพาหลบหนีไปอำเภ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลง ก่อนจะย้อนขึ้นมา หลบหนีไปที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งตำรวจก็ติดตามกดดันจนมีการประสานขอเข้ามอบตัว

นายชนิตพล รับสารภาพว่า เป็นผู้ลงมือยิงเอง ไม่มีการซัดทอดใคร ไม่พาดพิงใคร แม้แต่นายเพ้นท์ คนขี่รถจักรยานยนต์ก็ไม่ซัดทอด อ้างว่านายเพ้นท์ ไม่ทราบเรื่องว่าจะไปทำอะไร สาเหตุมาจากเรื่องความขัดแย้งส่วนตัว เนื่องจากทางฝ่ายผู้เสียชีวิตเคยขู่ว่าจะทำร้าย จึงได้มีการชิงลงมือทำก่อน เพราะกลุ่มของผู้ก่อเหตุและกลุ่มของผู้ตาย มีความขัดแย้งกันมาก่อนระหว่างกลุ่ม แต่ทางตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากมองว่าน่าจะมีเหตุผลอื่นร่วมด้วย หลังจากนี้จะมีการขยายเพิ่มเติมว่ามีปมสาเหตุอย่างอื่นอีกหรือไม่

สำหรับตัวของผู้ก่อเหตุซึ่งถ้าหากดูภาพจากกล้องวงจรปิดค่อนข้างมีความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธปืน เพราะยิงเข้าจุดตายเกือบทุกนัด ประเด็นนี้ตำรวจก็ได้มีการสอบปากคำซึ่งผู้ก่อเหตุบอกว่า เคยมีการไปซ้อมยิงปืนที่สนามยิงปืน จึงทำให้มีความเชี่ยวชาญพอสมควรในการใช้อาวุธปืน ส่วนอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ ซื้อมาจากเฟซบุ๊กในราคา 38,000 บาท ได้หลายปีแล้ว ก่อเหตุได้นำปืนไปทิ้ง อยู่ระหว่างสอบสวนติดตามปืนของกลาง

ส่วนประเด็นที่มีการเข้าไปเซลฟี่ในโต๊ะสนุกเกอร์เพราะแค่เข้าไปดูว่าผู้เสียชีวิตอยู่ในนั้นหรือไม่ เพื่อเป็นการไปดูเป้าหมายว่าได้เข้ามาถึงหรือยัง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลจากการสอบปากคำ การสืบสวนหาพยานหลักฐาน เบื้องต้นไม่พบว่ามีสาเหตุอื่นนอกจากความแค้นส่วนตัว และไม่พบด้วยว่ามีประเด็นเรื่องของการจ้างวางเข้ามาฆ่า

มูลเหตุเริ่มต้น้มื่อประมาณปลายเดือน ธันวาคม 2567 ที่นายกอล์ฟ ผู้เสียชีวิต ที่เพิ่งพ้นโทษออกจากเรือนจำ แล้วในเดือน มกราคม 2568  นายเชฟ กับพวก ได้มีปัญหากับพรรคพวกผู้เสียชีวิต แล้วเกิดเหตุไล่ยิงกันในพื้นที่ สน.คันนายาว ทำให้น้าชายนายเชฟ  ออกมาช่วยถูกยิงได้รับบาดเจ็บ หลังจากเหตุการณ์นั้นผู้ตายเป็นรุ่นพี่ของคู่อรินายเชฟ ก็ได้ตามมาเอาคืนตลอด

ต่อมาช่วงเทศกาลสงกรานต์ ช่วงเดือนเมษา 2568 ที่ผ่านมา กลุ่มน้องสาวของนายเชฟ ได้มีปัญหากับพรรคพวกผู้เสียชีวิต ทำให้น้องสาวนายเชฟ ถูกแทงได้รับบาดเจ็บ ทำให้เกิดความแค้นกรณีดังกล่าว จนกระทั่งต้นเดือน พฤษภาคม น้าของนายเชฟ ทราบว่าผู้ตายพักอาศัยในที่เกิดเหตุ จึงได้ขออาวุธปืนจากนายชนิตพล หรือเชฟ เพื่อมาก่อเหตุ แต่นายเชฟ เห็นว่าน้าชายของตนเองมีลูกเล็ก กลัวว่าหากก่อเหตุถูกดำเนินคดี จะไม่มีใครช่วยดูแลลูกของน้าชาย จึงอาสาของลงมือก่อเหตุ เนื่องจากมีความแค้นสะสม วันเกิดเหตุจึงได้ให้นายเพ้นท์ รุ่นน้องคนสนิทขับขี่ จักรยานยนต์ไปก่อเหตุยิงดังกล่าว

ตลอดที่ผ่านมาทางกลุ่มของผู้ตาย และกลุ่มของผู้เสียชีวิต ต่างก็มีเรื่องกันมาโดยตลอด ซึ่งต่างฝ่ายต่างมีการขู่กันว่า เจอที่ไหนก็จะทำร้ายที่นั่น จึงทำให้ฝ่ายของผู้ก่อเหตุนั่นก็คือนายเชฟ ที่มาเจอกับผู้ตายก่อนจึงได้ลงมือก่อนนั่นเอง

ซึ่งยังอยู่ระหว่างขยายผลถึงผู้ที่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือผู้ต้องหาเหล่านี้ ซึ่งระหว่างสอบสวนรวบรวมเพื่อดำเนินคดีต่อไป

Total
0
Shares
Previous Article

ชายชาวเมียนมา ถูกกลุ่มไทใหญ่บุกใช้มีดไล่ฟัน

Next Article

จับกุมยาบ้าล๊อตใหญ่ กว่า 8.7 ล้านเม็ด ไอซ์720กิโลกรัม

Related Posts