นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ออกมาแถลงข่าวเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเปิดเผยเอกสารบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไป โดยตั้งข้อสังเกตถึงความไม่โปร่งใสของการประชุม และความกังวลว่าไทยอาจเสียเปรียบกัมพูชา พร้อมเสนอให้ยกเลิก MOU ปี 2543 และ 2544 รวมถึงเปลี่ยนตัวประธาน JBC ฝ่ายไทย
นายปานเทพ เปิดเผยว่ามีข้อห่วงใยหลายประเด็น โดยเฉพาะความคลุมเครือตั้งแต่ก่อนการประชุม JBC โดยเฉพาะกรณีที่รัฐบาลเลือกข้าราชการเกษียณอายุราชการให้กลับมาเป็นประธาน JBC ฝ่ายไทย ทั้งที่นายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ได้ท้วงติงและเรียกร้องให้เปลี่ยนตัวไปก่อนหน้านี้ แต่รัฐบาลยังคงนิ่งเฉย ซึ่งหากผลลัพธ์การประชุมออกมาไม่ดี รัฐบาลต้องรับผิดชอบ
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลจากนายวีระว่า ประธาน JBC มีข้อความในไลน์กลุ่มระบุยึดมั่นใน แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ซึ่งนายปานเทพมองว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะแผนที่ดังกล่าวมีการรุกล้ำเกินขอบหน้าผาตามเขตแดนและแนวสันปันน้ำหลายพื้นที่ แม้จะมีการอ้างว่าฝ่ายไทยจะได้เปรียบกว่า 100 ตารางกิโลเมตร แต่พื้นที่เหล่านั้นเป็นพื้นที่ราบหรือหุบเหวที่ไทยไม่สามารถเข้าถึงได้ ปรากฏว่ารัฐบาลยังไม่ได้ตรวจสอบประเด็นนี้
นายปานเทพ ยังตั้งข้อสังเกตถึงท่าทีของฝ่ายไทยภายหลังการประชุม JBC ที่ยอมให้มีการแถลงข่าวแยกกัน แทนที่จะแถลงร่วมกันเพื่อหาข้อยุติ ซึ่งสร้างความสงสัยอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข่าวว่าประธานทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในบันทึกการประชุมแล้ว แต่กลับไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ แถมยังมีการฉลองด้วยการชนแก้วแชมเปญ แสดงความยินดีระหว่างกัน ซึ่งการไม่เปิดเผยเอกสารสร้างข้อกังขาว่ามีการลงนามอะไร และสะท้อนว่าฝ่ายไทยอาจเพลี่ยงพล้ำและรู้ไม่เท่าทันฝ่ายกัมพูชาที่ปล่อยให้แถลงข่าวก่อน
- เปิดเผยเอกสารบันทึกการประชุม JBC ที่ลงนามระหว่างไทย-กัมพูชา
- เปิดเผยคลิปวิดีโอ หากมีการบันทึกไว้ระหว่างการประชุม
- เปลี่ยนตัวประธาน JBC คนปัจจุบัน โดยให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถและรู้เท่าทันกัมพูชามาทำหน้าที่แทน
พร้อมกันนี้ นายปานเทพ ยังเรียกร้องเพิ่มเติมให้ ยกเลิก MOU 2543 ทั้งหมด เกี่ยวกับเขตแดนทางบก และให้ JBC ประชุมกันใหม่เกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจที่ไม่ทำให้ฝ่ายไทยเสียเปรียบหรือถูกตีความว่ายอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 นอกจากนี้ ยังขอให้ ยกเลิก MOU 2544 เรื่องเขตแดนหรือเส้นไหล่ทวีปทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา เนื่องจากไม่มีข้อพิพาทหรือการทับซ้อนตามกฎหมายทะเลสากล แต่กลับไปยึดเส้นมัธยฐานของไทยตามพระบรมราชโองการ และไปยอมรับการเจรจาในสิ่งที่กัมพูชาเรียกร้องให้เส้นไหล่ทวีปรุกล้ำน่านน้ำภายในรอบเกาะกูดและบริเวณโดยรอบ
สุดท้าย นายปานเทพ ขออย่าให้รัฐบาลเข้าแทรกแซงการตัดสินใจของกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นการเปิด-ปิดด่าน เมื่อสภาความมั่นคงแห่งชาติมอบอำนาจให้กองทัพแล้ว รัฐบาลซึ่งอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนและความสัมพันธ์เชิงญาติกับอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาจะต้องไม่แทรกแซงเรื่องนี้
