เมื่อช่วงเช้า ของวันที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมา ตำรวจกองปราบ นำโดย พ.ต.ต.นพคุณ ทัศมาลัย สว.กก.2 บก.ปอศ. พร้อมกำลัง ชุดปฏิบัติการที่ 4 กก. 2 บก.ปอศ. เข้าจับกุมนางสาวเยาวลักษณ์ วัย 64 ปี ที่ บริเวณหน้าห้องพักแห่งหนึ่งริมถนนลาดพร้าว แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง หลังถูกศาลอาญาธนบุรี ออกหมายจับ ในความผิดฐาน “ร่วมกันออกใบกำกับ ภาษีโดยไม่มีสิทธิที่จะออกตามมาตรา 86/13 แห่งประมวลรัษฎากร อันเป็นความผิดตามมาตรา 90/4 (3) แห่งประมวลรัษฎากร”

ตำรวจสืบสวน เปิดเผยว่า น.ส.เยาวลักษณ์ เป็นกรรมการ ผู้มีอำนาจของบริษัทฯ ถูกควบคุมตัวในข้อหา “ร่วมกันออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิที่จะออกตามมาตรา 86/13 แห่งประมวลรัษฎากร อันเป็นความผิดตามมาตรา 90/4 (3) แห่งประมวลรัษฎากร” กล่าวคือ ในช่วงเดือนตุลาคม 2566 บริษัท ดังกล่าว มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง แต่เจ้าพนักงานกรมสรรพากรตรวจสอบพบว่า บริษัทดังกล่าว ไม่มีการประกอบกิจการ ณ สถานประกอบการดังกล่าวจริง โดยสถานที่ตั้งบริษัท มีลักษณะเป็นเพียงบ้านเช่า ไม่พบการประกอบกิจการของบริษัทฯ แต่อย่างใด สอบถามผู้อาศัยข้างเคียงให้การว่า บริษัทดังกล่าว ไม่ได้มีการประกอบกิจการแต่อย่างใด อีกทั้งไม่สามารถติดต่อได้ กรมสรรพากรจึงเชื่อได้ว่าบริษัทดังกล่าวมีการออกใบกำกับภาษีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นมา ไม่ได้มีเจตนาที่จะประกอบกิจการจริง ประกอบกับบริษัทดังกล่าวไม่ส่งมอบเอกสารให้เจ้าพนักงานกรมสรรพากรเพื่อตรวจสอบ แต่บริษัทดังกล่าวได้ออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิที่จะออกช่วงเดือนภาษีสิงหาคม 2566 ถึงเดือนภาษีมีนาคม 2559 ให้กับผู้ประกอบการรายอื่น ประกอบกับกรมสรรพากรได้รับแจ้งจากสำนักงานสรรพากรพื้นที่ต่าง ๆ พบว่ามีใบกำกับภาษีขายที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ออกโดยบริษัทนี้ไปยังผู้ประกอบเพื่อใช้ยื่นขอเครดิตภาษี (ขอคืน) ต่อกรมสรรพากร รวมใบกำกับภาษีจำนวน 188 ฉบับ ซึ่งใบกำกับภาษีดังกล่าวเป็นเท็จทั้งสิ้น และไม่มีการซื้อขายสินค้ากันจริงแต่อย่างใด ซึ่งได้ประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม รวมเป็นเงินจำนวนกว่า 131 ล้านบาท
ข้อมูลดังกล่าว จึงเชื่อได้ว่า การออกใบกำกับภาษีดังกล่าวเป็นการออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิที่จะออกตามกฎหมายเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 86/13 แห่งประมวลรัษฎากร อันเป็นความผิดตามมาตรา 90/4 (3)แห่งประมวลรัษฎากร

จากนั้นพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอศ. ได้อออกหมายเรียกเพื่อติดต่อตัวกรรมการมาทราบ ข้อกล่าวหา แต่ก็ไม่มีผู้ใดมาพบพนักงานสอบสวนตามที่ออกหมายเรียกไป จึงเชื่อได้ว่ามีพฤติการณ์หลบหนี พนักงานสอบสวนจึงได้ขออนุญาตศาลเพื่อออกหมายจับ นำตัวกรรมการเป็นผู้รับผิดชอบมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
หลังจากที่ศาลได้อนุมัติหมายจับแล้วนั้น ตำรวจ กก.2 บก.ปอศ. ชุดจับกุมได้สืบสวนมาโดยตลอด ประกอบกับหมายจับใกล้จะหมดอายุความในอีก 2 เดือนเศษ ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นกรณีที่มีมูลค่าความเสียหายสูง จึงได้เร่งดำเนินการสืบสวนจนทราบว่า นางสาวเยาวลักษณ์ฯ ผู้ต้องหา อยู่ในพื้นที่ถ.ลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร จึงติดตามกระทั่งพบตัวผู้ต้องหา ทำการจับกุมและนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอศ. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และให้รายละเอียดในคำให้การว่าตนไม่รู้จักบริษัทดังกล่าวแต่อย่างใด โดยให้การเพียงว่า เมื่อปี 2556 ตนเองประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป โดยทำงานเป็นแม่บ้าน ซึ่งมีนายจ้าง (จำชื่อสกุลจริงไม่ได้) ได้มาขอบัตรประจำตัวประชาชนไปใช้เพื่อดำเนินการในเรื่องสวัสดิการให้ จึงไม่ทราบว่าจะนำมาใช้ในการกระทำความผิดดังกล่าว
ทั้งนี้ อำนวยการจับกุมโดย กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ จารุปรัชญ์ ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ รอง ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.นฤพนธ์ กรุณา ผกก.2 บก.ปอศ. และ พ.ต.ท.วันเผด็จ จันยะรมณ์ รอง ผกก.2 บก.ปอศ., พ.ต.ท.ชวพล เชื้อเพ็ชร์ รอง ผกก.2 บก.ปอศ.